พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
“พระมหาบิตร ! คนที่เกิดมาในโลกนี้มีทั้งหมด ๔ ประเภท คือ
๑. คนที่มืดมาแล้วมืดไป คือคนที่เกิดมาในตระกูลต่ำ ยากจน ทุพพลภาพ พิการ ซ้ำยังประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจ ตายแล้วไปเกิดในนรก
๒. คนที่มืดมาแล้วสว่างไป คือคนที่เกิดมาในตระกูลต่ำ ยากจน ทุพพลภาพ พิการ แต่ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และใจ ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์
๓. คนที่สว่างมาแล้วมืดไป คือคนที่เกิดมาในตระกูลสูง ร่ำรวย ผิวพรรณงาม แต่ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจ ตายแล้วไปเกิดในนรก
๔. คนที่สว่างมาแล้วสว่างไป คือคนที่เกิดมาในตระกูลสูง ร่ำรวย ผิวพรรณงาม แต่ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และใจ ตายแล้วไปเกิดในสวรรค์”
(ปุคคลสูตร ๑๕/๑๓๒)
พระสูตรนี้แสดงว่า ทุกคนไม่อาจจะเลือกที่มาได้ แต่เราก็อาจที่จะเลือกที่ไปได้นั่นก็หมายความว่า เรามักเกิดมาเสียแล้วนี่ จะไปเลือกอีกได้อย่างไร ? ถ้าจะเลือกอีกก็ต้องตายเสียก่อน แล้วไปเกิดใหม่
แต่ก็ต้องระวังไว้ให้ดีนะ จะต้องเร่งรีบสร้างความดีไว้ให้มาก ถ้าไม่มีความดีคือ ทาน ศีล ภาวนา ไว้เป็นทุนในปัจจุบันนี้แล้ว เอาแต่หวังลม ๆ แล้ง ๆ โอกาสที่จะมาเกิดเป็นคนอย่างนี้อีกก็แสนยาก อย่างว่าแต่จะมาเกิดในตระกูลดีเลย
กรรม คือ การกระทำของเราเองนี่แหละ นับว่าสำคัญที่สุด จะเกิดมาแล้วสวย รวย ปานใด มันไม่สำคัญหรอก ไม่ช้าก็ตายเน่าเข้าโลงหมด สิ่งที่จะติดตามไปไม่ลดละก็คือ ความดีกับความชั่วนั่นแหละ เป็นของแน่นอน
ดังนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นคน กับเขาชาติหนึ่งนี้ ก็นับว่าโชคดีมีบุญหนุนให้มาเกิดแล้ว ควรที่จะเร่งรีบต่อบุญเก่าเอาไว้ อย่ามัวแต่หลงตกอยู่ในมายาของโลก อันหาสาระมิได้อยู่เลย ชีวิตนี้น้อยยิ่งนัก มิทันไรก็แก่และใกล้จะตายแล้ว
เมื่อตายแล้ว ทรัพย์สมบัติ ยศศักดิ์ ญาติมิตรและบริวารก็มิได้ตามเราไปด้วยเลย ปล่อยให้เป็น “สมบัติผลัดกันชม” ต่อไป เมื่อถึงเวลาก็ต้องลาจากโลกนี้ไป โลกนี้เช่นนี้มากี่พันกี่หมื่นปีแล้ว น่าจะเบื่อหน่ายกันบ้าง น่าจะคิดกันบ้างว่า คนเราเกิดมาทำไม ? อะไรคือสาระของชีวิตที่แท้จริง ?.
#เตือนตน
..............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น